ติดตั้งง่าย (Plug & Play) : การต่อกล้องติดรถยนต์ผ่านพอร์ต OBD2 ทำได้ง่ายมาก
เพียงแค่เสียบสายจากกล้องเข้ากับพอร์ต OBD2 ที่มักจะอยู่ใต้พวงมาลัยฝั่งคนขับ
โดยไม่ต้องตัดต่อสายไฟหรือยุ่งกับระบบไฟฟ้าของรถโดยตรง
รองรับโหมดบันทึกขณะจอด (Parking Mode) : ปลั๊ก OBD2 สำหรับกล้องติดรถยนต์
ส่วนใหญ่ถูกออกแบบมา ให้รองรับการทำงานในโหมดบันทึกขณะจอดรถ (Parking Mode)
โดยจะจ่ายไฟให้กับกล้องตลอด 24 ชั่วโมง และมีระบบตัดไฟอัตโนมัติเมื่อแบตเตอรี่รถยนต์
มีระดับแรงดันไฟฟ้าต่ำกว่าที่กำหนด เพื่อป้องกันแบตหมด
ไม่กระทบการรับประกันรถยนต์: สำหรับรถยนต์บางยี่ห้อ โดยเฉพาะรถยุโรป เช่น BMW, MINI, Porsche
การต่อสายไฟเข้ากล่องฟิวส์อาจทำให้การรับประกันในส่วนของระบบไฟฟ้าถูกยกเลิกได้
การใช้ ปลั๊ก OBD2 จึงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า
อ่านค่าจาก ECU: แม้ว่ากล้องติดรถยนต์ส่วนใหญ่จะเน้น แค่การการใช้ไฟฟ้าจากพอร์ต OBD2
แต่ในบางรุ่นก็อาจมีการใช้ข้อมูลจาก ECU (Electronic Control Unit) ของรถยนต์มาแสดงผลด้วย เช่น
ความเร็ว รอบเครื่องยนต์ หรืออุณหภูมิ
ควรใช้สายที่ออกแบบมาเฉพาะ: การเชื่อมต่อแบบนี้จำเป็นต้องใช้สาย OBD2 Hardwire Kit
ที่ออกแบบมาสำหรับกล้องติดรถยนต์โดยเฉพาะ ไม่ใช่สาย OBD2 ทั่วไป
พอร์ต OBD2 มีการจ่ายไฟตลอดเวลา: พอร์ต OBD2 จะมีการจ่ายไฟตลอดเวลาแม้ดับเครื่องยนต์แล้ว
ดังนั้นต้องเลือก กล้องติดรถยนต์ และอุปกรณ์เสริม ที่มีระบบตัดไฟอัตโนมัติเพื่อป้องกันแบตเตอรี่หมด
ความเข้ากันได้: ควรตรวจสอบให้แน่ใจ ว่ากล้องติดรถยนต์ รองรับการใช้งานร่วมกับสาย OBD2 Kit ที่เลือก
อาจกินไฟแบตเตอรี่เล็กน้อย: แม้จะมีระบบตัดไฟ แต่การที่กล้องทำงานในโหมดจอดรถตลอด 24 ชั่วโมง
ก็จะมีการใช้พลังงานจากแบตเตอรี่รถยนต์อยู่บ้าง หากไม่ได้ใช้รถเป็นเวลานานอาจส่งผลต่อแบตเตอรี่ได้
(โดยปกติแล้วระบบตัดไฟอัตโนมัติจะช่วยป้องกันปัญหานี้)
สรุป: การเชื่อมต่อกล้องติดรถยนต์ผ่านพอร์ต OBD2 เป็นวิธีที่สะดวกและปลอดภัย
โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่กังวลเรื่องการรับประกันรถยนต์ เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการใช้งานโหมดบันทึกขณะจอดรถ
แต่ควรเลือกกล้องที่ออกแบบรองรับ เพื่อให้มั่นใจในประสิทธิภาพและความปลอดภัยของระบบไฟฟ้าในรถยนต์
PATTEERA SHOP